ฤาสังคมวิปริต

ฤาสังคมวิปริต

เมื่อตอนผมยังเป็นเด็ก ผมจะถูกผู้ใหญ่สอนเสมอว่า พ่อแม่ มีพระคุณอย่างที่ จะนับจะประมาณมิได้ พวกเราคงนึกถึงเพลงที่บอกว่า “จะเอาโลกมาทำปากกา แล้ว เอานภามาแทนกระดาษ เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณ ไม่พอ” บทนี้ กันได้นะครับ ฟังแล้ว รู้สึกว่า โอ้โฮ พระคุณพ่อแม่มากมายขนาดนั้น เลยหรือ 

ยิ่งได้มาศึกษาพระพุทธศาสนายิ่งซาบซึ้งหนักเข้าไปอีก เพราะพระบรมศาสดา ตรัสว่า ต่อให้ลูกเอาพ่อแม่ไว้บนบ่า เลี้ยงดูท่าน ป้อนข้าวป้อนน้ำ ให้ท่านถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะจนตลอดชีวิต ก็ไม่สามารถทดแทน พระคุณได้หมด ทำให้ผมไม่แปลกใจเลย ที่คนในยุคก่อนโน้น เขามีความเจริญ รุ่งเรืองในชีวิต เพราะยึดมั่นในคุณธรรม มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ

วันก่อนผมได้ไปที่วัดเพื่อร่วมงานบวช เห็นแล้วก็ปลื้มใจ ตั้งแต่ขบวนของ นาคที่เดินเวียนประทักษิณรอบอุโบสถ นาคทุกท่านต่างก็ตั้งใจ สงบนิ่งน่าเลื่อมใส ศรัทธา เมื่อถึงตอนกล่าวคำขอขมาต่อผู้ปกครองก็ดี กล่าวคำขอบรรพชาก็ดี ล้วน เปล่งเสียงออกมาจากใจ เสียงก้องกังวานน่าฟังยิ่งนัก ผมหลับตาฟังไปเรื่อยๆ ด้วย ใจที่ชุ่มเย็น 

จนกระทั่งมาสะดุด เมื่อนาคกล่าวถึงคำขอนิสัย คือ การขออยู่ด้วย ขอให้ พระอุปัชฌาย์ ช่วยอบรมสั่งสอน จนกระทั่งถึงบทที่

อัชชะตัคเคทานิ เถโรมัยหัง ภาโรอะหัมปิ เถรัสสะ ภาโร

แปลว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระเถระเป็นภาระของข้าพเจ้า

แม้ข้าพเจ้าก็เป็นภาระของพระเถระ

            คำว่าเป็นภาระตรงนี้ แท้จริงคือ การบอกให้รู้ว่า ความสัมพันธ์ของผู้บวช และอุปัชฌาย์นั้น เป็นประดุจบิดากับบุตร ที่จะต้องรับภาระดูแลกันและกัน

ผมมา นึกถึงว่า พระอุปัชฌาย์นี้ ถ้าจะว่าไป ก็มีพระคุณมากมายเหลือเกิน เพราะเป็นผู้ที่ จะถ่ายทอดทั้งคุณธรรม ความดีงาม ความรู้ที่ท่านมีอยู่ให้กับเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้ที่จะทำให้พ้นอบาย คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ความจริงผมควรจะมีความปีติใจ อิ่มเอิบใจ ปลื้มใจในบุญที่ได้มีโอกาสมา ร่วมพิธีสำคัญครั้งนี้ 

แต่พอดีมีภาพซ้อนขึ้นมาถึง คนที่ผมเคยรู้จักท่านหนึ่ง ที่ใน อดีตท่านก็เคยเป็นพระภิกษุ  แต่ปัจจุบันนี้ท่านได้สิกขาลาเพศออกไป ซึ่งหากว่า ท่านลาสิกขาไปแล้วไปทำมาหากินโดยสุจริต เอาความรู้ที่มีอยู่ไปทำประโยชน์ให้ สังคมก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร 

แต่นี่กลับนำเอาเครดิตจากการที่ครูบาอาจารย์ส่งเสีย ให้ไปเรียนถึงต่างประเทศกลับมาเป็นหอก ทิ่มแทงครูบาอาจารย์ รวมทั้งพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นพ่อทางธรรมของตนเอง  นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายนัก

สิ่งเหล่านี้หากเกิดในสังคมสมัยก่อน คงเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ ยิ่งหากใครที่เป็น แฟนหนังกำลังภายใน คงจะเข้าใจดีว่า ประเภทศิษย์คิดล้างครูทั้งหลายนี่ ใครเห็น ก็ฆ่าได้เลย เขาถือกันขนาดนั้น 

แต่ ณ วันนี้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วที่เมืองไทยของเรา ศิษย์ที่คิดล้างครู ใส่ร้ายป้ายสีครูบาอาจารย์ พระอุปัชฌาย์ กลับได้รับการยอมรับจาก สังคม และมีคนไปเชียร์ ไปยกย่องเสียด้วยซ้ำ ทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ฤาสังคมเรามันวิปริตไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ

ผมก็ได้แต่หวังว่า สักวันเขาคงจะได้ตระหนักถึงความจริง ตระหนัก ถึงพระคุณของครูบาอาจารย์แล้วยุติพฤติกรรมทั้งหลายเหล่านั้น แล้วตั้งหน้าตั้งตา ทำความดีไถ่โทษที่ได้ล่วงเกินครูบาอาจารย์ไว้

คงยังไม่สายเกินไปนะครับ ยุคนี้แผ่นดินมันนุ่มซะด้วยสิครับ

ปรัศนี







Share this

Related Posts

Previous
Next Post »